โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ พบ เรอัล มาดริด ! 5 ประเด็นก่อนเกมนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ในที่สุดก็คือแมตช์สุดท้ายของฤดูกาล 2023/2024 โดย โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องปะทะกับ เรอัล มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายนนี้ โดยแน่นอนว่า “ราชันชุดขาว” มีภาษีเหนือกว่าเยอะทั้งเรื่องความสำเร็จ

ขุมกำลัง และประสบการณ์ แต่สำหรับฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะก่อนหน้านี้เมื่อ 27 ปีที่แล้ว “เสือเหลือง” เคยสร้างเซอร์ไพรส์มาแล้วจากการปราบสุดยอดทีมในยุคนั้น “ม้าลาย” ยูเวนตุส ฉะนั้นความสำเร็จในรอบชิง นอกจากความสามารถของกุนซือและนักเตะทั้งสองทีมแล้ว เรื่องเทพีแห่งโชคก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งมันอาจจะสามารถตัดสินแชมป์ได้เลยทีเดียว

ผลบอลสด

1. สถิติข่มมิดด้าม

เรอัล มาดริด ไม่ได้มีแค่ชื่อชั้นและขุมกำลังทีเหลือกว่า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แต่ประสบการณ์ในการเล่นนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ ยูโรเปี้ยน คัพ (ชื่อเดิม) มันช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับทัพ “เสือเหลือง” !!

 “ราชันชุดขาว” เป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์โทรฟี่ “บิ๊กเอียร์” 14 สมัยจากการเข้าชิง 17 ครั้ง และตอนนี้พวกเขากำลังไล่ล่าความสำเร็จเป็นสมัยที่ 15 ซึ่งถ้าหากทำได้นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้แชมป์รายการนี้มากกว่า “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน ซึ่งคว้าแชมป์ 7 สมัย ถึงสองเท่าเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น “โลส บลังโกส” ยังเป็นทีมที่ไม่รู้จักคำว่าผิดหวังจากการเข้ารอบชิงชนะเลิศ 8 ครั้งหลังสุดของพวกเขา โดยสามารถชูโทรฟี่แชมป์ได้ทุกครั้งซะด้วย ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ ดอร์ทมุนด์ ต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะถ้าอยากจะคว่ำ เรอัล มาดริด พวกเขาต้องทำผลงานให้ “ซูเปอร์เพอร์เฟกต์” เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นพวกเทพฤทธิ์พิชิตไม่ได้ เพราะพวกเขาก็เคยต้องน้ำตาตกมาแล้ว 3 ครั้งในนัดชิง ด้วยการแพ้ เบนฟิก้า ฤดูกาล 1961/1962 , อินเตอร์ มิลาน 1963/1964 และลิเวอร์พูล 1980/1981

กระนั้นจากสถิติที่พบกันเอง 14 แมตช์ ดอร์ทมุนด์ เอาชนะ เรอัล มาดริด ได้แค่สามครั้งในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก (เสมอ 5 แพ้ 6 เกม) ดังนั้นการที่จะหยุดความยิ่งใหญ่ของยอดทีมแห่งดินแดนกระทิงดุ นอกจากจะระเบิดฟอร์มเทพแล้วยังต้องอาศัยโชคลาภวาสนาพาส่งไปให้ถึงแชมป์ด้วย

 2. เกมสั่งลา โครส ในนาม “ราชันชุดขาว”

หนึ่งในไฮไลต์ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือแมตช์นี้จะเป็นเกมสุดท้ายของ โทนี่ โครส ในสีเสื้อเรอัล มาดริด หลังจากเจ้าตัวประกาศอำลาสโมสรหลังผ่านการรับใช้ทีมมาแล้ว 464 แมตช์ พร้อมกับคว้าแชมป์มากมาย รวมทั้งแชมป์ “หูกาง” 5 สมัย

โครส ซึ่งประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบศึกยูโร 2024 ย้ายจาก บาเยิร์น มาอยู่ในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อปี 2014 ผ่านมา 1 ทศวรรษเขามีส่วนสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับสโมสร และเป็นหนึ่งในแข้งคีย์แมนสำคัญของทีมที่ขาดไม่ได้

สำหรับเกมนัดชิงในวันเสาร์นี้ โครส มีโอกาสสั่งลาแฟนบอล “ราชันชุดขาว” ด้วยการคว้าแชมป์รายการนี้ และยังลุ้นคว้าโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์” สมัยที่ 6 ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในสี่แข้ง เรอัล มาดริด ร่วมกับ ดานี่ การ์บาฆาล, ลูก้า โมดริช และ นาโช่  ที่จะได้สร้างประวัติศาสตร์เทียบเท่า ปาโก เคนโต้ ตำนานยอดแข้งผู้ล่วงลับของสโมสร

งานนี้โอกาสที่ โทรส และเพื่อนร่วมทัพจะประสบความสำเร็จมีค่อนข้างสูง เพราะจากสถิติของ “ราชันชุดขาว”  สวยหรูดูดีเหลือเกิน แต่ก็อย่าประมาท ดอร์ทมุนด์ เพราะ “เสือเหลือง” เคยสร้างความมหัศจรรย์มาแล้วเมื่อปี 1997 ที่คว่ำ ยูเวนตุส ยอดทีมในยุคนั้น

3.  ฮุมเมิ่ลส์, รอยส์ ได้โอกาสลบรอยช้ำ

สำหรับนักฟุตบอลอาชีพความเจ็บปวดในการแพ้นัดชิงชนะเลิศเป็นเหมือนรอยแผลเป็นที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนๆ นั้น และ มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ กับ มาร์โค รอยส์ คือหนึ่งในนักเตะที่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องนี้มาแล้ว เมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา

สองจอมเก๋าชาวเยอรมัน เป็นสองแข้งที่เหลืออยู่ของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เคยนำต้นสังกัดทะลุรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2013 ที่สนามเวมบลีย์ และต้องน้ำตาตกเมื่อพ่ายให้กับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค 1-2 หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยได้เข้าใกล้โอกาสจับโทรฟี่ “หูกาง” อีกเลย จนกระทั่งในปีนี้

ในกรณีของ ฮุมเมิ่ลส์ จะกลายเป็นผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ (ตำแหน่งอื่นนอกจากผู้รักษาประตู) ชาวเยอรมันที่แก่ที่สุดที่ลงตัวจริงนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยวัย 35 ปีกับ 168 วัน โดยก่อนหน้านี้ก็คือ โลธ่าร์ มัทเธอุส ซึ่งทำได้ในเกมที่บาเยิร์น แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1999

นอกจากนี้ ฮุมเมิ่ลส์ ซึ่งนักเตะที่ฟอร์มโดดเด่นที่สุดของทีม ไม่เคยพลาดการลงเล่นแม้แต่นาทีเดียวให้กับต้นสังกัดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ ซึ่งถือเป็นฤกษ์งามยามดีจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้นักเตะเอาท์ฟิลด์ที่ลงสนามทุกนาทีพร้อมกับคว้าแชมป์ก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตอนอยู่กับ เรอัล มาดริด ซีซั่น 2017/2018 และเซนเตอร์แบ็กคนล่าสุดที่ทำแบบนี้พร้อมคว้าแชมป์ก็คือ ซามี่ ฮูเปีย ตอนเล่นให้ ลิเวอร์พูล ซีซั่น 2004/2005

4. ดอร์ทมุนด์ ลุ้นแชมป์ “บิ๊กเอียร์” อีกครั้งหลังทำได้เมื่อ 27 ปีก่อน

เรอัล มาดริด ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรปจากการคว้าแชมป์ถึง 14 สมัย แต่สำหรับ ดอร์มุนด์ พวกเขาเป็นสโมสรเล็กๆ ที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย แต่ก็เคยสร้างประวัติศาสตร์ที่โลกไม่ลืมเมื่อปี 1997

ย้อนกลับไปเมื่อ 27 ปีก่อน ดอร์ทมุนด์ ทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก พบกับ ยูเวนตุส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยอดทีมจากต่างแดนในยุคนั้น และหลายคนฟันธงว่า “เสือเหลือง” โดน “ม้าลาย” ดีดยับดับแดดิ้นคาสนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม ที่ประเทศเยอรมนี แหงๆ

อย่างไรก็ตาม ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การกุมบังเหียนของ อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ สามารถหักปากกาเซียนกระจุยกระจายด้วยการชนะสกอร์ 3-1 และนั่นคือแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรก และสมัยเดียวของพวกเขา ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลยกับ เรอัล ที่กำลังลุ้นแชมป์สมัยที่ 15 ในฤดูกาลนี้

แน่นอนว่าสถานการณ์ของ ดอร์ทมุนด์ ในซีซั่นนี้ก็เหมือนกับเมื่อปี 1997 นั่นก็คือพวกเขาเป็นม้านอกสายตา และหลายคนฟันธงว่าไม่มีทางสร้างเซอร์ไพรส์แน่นอน แต่ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นถ้าไม่ถอดใจซะก่อนทุกอย่างก็เป็นไปได้เสมอ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ดอร์ทมุนด์ อาจจะรู้สึกหลอนๆ ก็คือสังเวียนแข้งเวมบลีย์ เคยทำให้พวกเขาต้องน้ำตาตกในการชิงชัยแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อพ่ายแพ้ให้กับ บาเยิร์น ในปี 2013 มาแล้ว

5. บารมีกุนซือต่างกันราวฟ้ากับเหว 

การเห็นชื่อ คาร์โล อันเชลอตติ ทุกคนก็แทบขาสั่น เพราะนี่คือเทรนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จมากมายมหาศาลโดยเฉพาะในแชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งในฐานะโค้ล และนักเตะ ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จแล้ว “อันเช่” ชูโทรฟี่แชมป์รายการนี้ทั้งหมด 6 ครั้งเลยทีเดียว

สมัยที่เป็นนักเตะ “คาร์เล็ตโต้” คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ (แชมเปี้ยนส์ ลีก) 2 สมัยกับ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน เมื่อฤดูกาล 1988/1989 และ 1989/1990 จากนั้นเมื่อขยับสถานะเป็นกุนซือก็นำ มิลาน คว้าแชมป์รายการนี้อีก 2 สมัยเมื่อซีซั่น 2002/2003 และ 2006/2007

ยังไม่หมดแค่นั้น เทรนเนอร์แก้มป่องชาวอิตาเลียน วัย 64 กะรัต สามารถนำ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ “หูกาง” 2 สมัยเมื่อฤดูกาล 2013/2014 และ 2021/2022 สำหรับตอนนี้เขากำลังลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ในการคว้าแชมป์รายการนี้รวม 7 สมัย ซึ่งจะทำได้หรือไม่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้รู้กัน

งานนี้เมื่อมาเช็คผลงานของ เอดิน แทร์ซิช ต้องบอกเลยว่ามันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะเขาประสบความสำเร็จในการนำ ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล เท่านั้น ซึ่งหากเทียบเรื่องบารมีกับกึ๋นในการวางแท็กติกคงวัดกันไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องดวง……..คงต้องรอดูคำตอบคืนวันที่ 1 มิ.ย. เท่านั้น

ขอบคุณแหล่งที่มา:  www.siamsport.co.th
supperlotto-th.co:   ผลบอลสด   ไฮไลท์และข่าวบอลอัปเดตทุกวัน

เล่นบาคาร่า ผ่านเว็บตรงคาสิโนออนไลน์ มีความน่าเชื่อถือและมั่นคงปลอดภัยสูง

โปรโมชั่นดี เครดิตฟรีอีกเพียบ เล่นง่าย ได้จริง

บาคาร่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *